Quantcast
Channel: BKKSEEK
Viewing all 104 articles
Browse latest View live

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องขี้เหล้าเล่นหม้อ

$
0
0

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านหนองฮังกา (ปัจจุบันขึ้นกับบ้านแสงอินทร์) ต.กระเบื้อง อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ เป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมาและได้แง่คิดสอนใจดีๆ

นานมาแล้วมีเศรษฐีผู้ใจบุญท่านหนึ่ง แกชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ ขอให้ได้ทำบุญแก่จะทำทุกอย่าง คนอีสานพูดไว้ว่า “แฮงให้ แฮงรวย แฮงให้ แฮงได้หลาย” คือ ยิ่งให้ ยิ่งรวย ยิ่งให้ ยิ่งได้…ได้เยอะเพราะคนตอบแทนกับการให้ของเรา รวมคือรวยน้ำใจไปไหนคนรักคนอารีย์กับไมตรีจิตของเรา ยิ่งให้ก็ยิ่งได้มาก…เศรษฐีผู้ใจบุญ มีลูกชายคนเดียวไม่เอาถ่าน ลูกเมียก็ไม่มี ลูกชายเศรษฐีเอาอย่างเดียวคือกินเหล้า กินแล้วก็กินอีก กินจนติด เพื่อนฝูงก็มาก เพราะรวยมีเงินเลี้ยงคนอื่นเพื่อต้องการความเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง ส่วนเพื่อนทั้งหลายก็หลอกกินฟรีไปวันๆ

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องขี้เหล้าเล่นหม้อ

หลายปีต่อมา เศรษฐีใจบุญตายลง ลูกชายเศรษฐีเป็นผู้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่สนใจการบริหาร ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ที่พ่อแม่ให้ไว้ ดื่มกินจนเมามาย ไม่นานฐานะความเป็นอยู่ของเขาก็จนลง ไม่มีที่อยู่อาศัย ขอทานเขากินไปวัน ๆ ความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเริ่มเข้ามาแทนที่ เขาไปหาเพื่อนที่ไหนก็ไม่มีใครให้กิน ความทุกขเวทนามีมากยิ่งขึ้น ด้วยเดชะบุญกุศลของเศรษฐีผู้ใจบุญที่ตายไปแล้ว จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาผู้ใหญ่ในสวรรค์ ด้วยความเป็นห่วงลูก จึงใช้ตาทิพย์มองมายังพื้นโลก เห็นลูกชายของตนได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก หัวอกผู้เป็นพ่อให้สลดหดหู่ยิ่งนัก ด้วยความเป็นห่วงลูก เทวดาผู้เป็นใหญ่นั้นจึงได้ลงมาหาลูกของตน สอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินและให้รู้จักประหยัดเมื่อมีเงิน

ลูกชายเมื่อฟังแล้วก็รับปากว่า จะกลับตัวเป็นคนดี จะเลิกเหล้าเด็ดขาด เขาบอกกับเทวดาผู้เป็นใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเขาว่า เขาจะเริ่มต้นอย่างไร เขาไม่มีทุนรอนอะไร เทวดาผู้เป็นพ่อจึงส่งหม้อดินให้เขาใบหนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าจงรักษาหม้อดินนี้ให้ดี หากเจ้าต้องการเงินทอง เจ้าก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบมาใช้ได้ดั่งใจคิด แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทำแตก” …ลูกชายเศรษฐีก็รับคำพ่อ เช้าของวันรุ่งขึ้น ลูกชายเศรษฐีขี้เหล้า ก็เอามือล้วงดูว่าที่พ่อบอกนั้นจะจริงหรือเปล่า เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก มือเขาสัมผัสกับเงินทองมากมาย…เขาอดเหล้าได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็ลืมคำพ่อที่สั่งสอนเสียสิ้น …เขากลับมาดื่มกินอย่างหนัก

วันหนึ่งเขากินเหล้าแล้วก็เดินทางไปหาเพื่อน ระหว่างทางเขานึกสนุกขึ้นมา จึงได้โยนหม้อขึ้นสูงๆ แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า “โอะ ๆ โอะ…โอะร่วง” พอรับหม้อได้เขาก็โยนใหม่ แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า “โอะ ๆ โอะ โอะร่วง” เขาทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทาง แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า “โอะ ๆ โอะ โอะร่วง” คราวนี้หม้อในมือเขาเกิดร่วงจริงๆ หม้อใบนั้นจึงแตก … ขี้เหล้าตกใจมาก…เขาคิดถึงคำพ่อที่บอกไว้ เขารู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองมาก…เขาไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้…เขาไม่ได้ล้วงเงินทองในหม้อเก็บไว้ เพื่อไว้ใช้จ่ายในวันข้างหน้าเลย เขาไม่ได้เก็บเงินไว้เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลตนเองเลย เขาไม่มีเงินสำรองอะไรทั้งสิ้น …หมดแล้วทุกอย่าง!!!

Photo credit: oknation.net/blog/movie-som/2013/09/19/entry-1

The post นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องขี้เหล้าเล่นหม้อ appeared first on BKKSEEK.COM.


นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องแม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว

$
0
0

เด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่ง เธอชื่อ “ซูไบดา” ต่อมาแม่มีสามีใหม่และมีน้องชายเล็กๆอีกคนหนึ่ง ซูไบดาต้องเลี้ยงน้อง ขณะที่พ่อแม่ไปทำนาก่อนออกจากบ้าน พ่อเลี้ยงกำชับเธอเสมอว่าอย่ากินอ้อยเด็ดขาด พ่อจะเอาไว้ขายแต่วันหนึ่งน้องร้องอยากกินอ้อย ซูไบดาจึงตัดสินใจตัดอ้อยให้น้องกิน เมื่อพ่อแม่กลับถึงบ้าน ซูไบดาจึงเล่าความจริงให้ฟัง

พ่อเลี้ยงจึงไม่พอใจมาก ทุบตี ซูไบดา จนสลบ ทันใดนั้นได้มีพญานกตัวหนึ่งบินผ่านมา และเห็นเด็กหญิงนั่งร้องไห้อยู่หน้ากระท่อมพญานกจึงบินเข้าไปใกล้ๆ “หนูร้องทำไมจ๊ะ”พญานกถาม… ซูไบดาผู้น่าสงสารจึงเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง…ในที่สุดพญานกจึงว่า “หนูจะมีแต่ความสุขและมีอิสระเสรี“…พญานกจึงบันดาลให้ซูไบดาเป็นนกน้อยน่ารัก ตัวสีฟ้า ปีกสีชมพู จะงอยปากและขาสีแดง ขันขานไพเราะจับใจ

นิทานพื้นบ้านภาคใต้ แม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว2

พญานกจึงนำนกน้อยบินไปบนท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลินซูไบดาคิดถึงแม่…เธอจึงบินมาที่กระท่อมช่วยเก็บฟืน ตำข้าว ตักน้ำพร้อมกับถอดกำไลและตุ้มหูคืนให้แม่…เสร็จแล้วนกน้อยบินไปหาแม่ที่ในนา และไปเกาะที่กิ่งไม้ใกล้ๆแล้วร้องเพลงว่า
“แม่รักอ้อยเพียงลำเดียวสำคัญใย น้องนอนในเปลน้อยเฝ้าคอยกิน
ตุ้มหูและกำไลในกระเชอ น้ำล้นเอ่อเต็มอ่างข้างบ่อหิน
เก็บไม้ฟืนมากล้นว่างบนดิน ข้าวเปลือกสินครกตำนำข้าวมา”
ขณะแม่กำลังทำนาอยู่ได้ยินเสียงนกร้อง…แม่จึงสังหรณ์ใจคิดถึงลูกสาวจึงชวนสามีกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านแม่ไม่เห็นซูไบดา แม่จึงตกใจเสียและร้องไห้ยิ่งเห็นกำไลและตุ้มหูแม่ยิ่งโศกเศร้าเป็นทวี

นิทานพื้นบ้าน_แม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว4

วันหนึ่งพระราชาหนุ่มออกล่าสัตว์ได้ยินเสียงนกน้อยซูไบดา รูปร่างสวยงามและร้องเพลงไพเราะ จึงสั่งให้ทหารจับนกน้อยใส่กรงวันหนึ่ง พระราชาได้ยินเสียงนกร้องเพลงว่า
“จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ ฉันไม่ยอมอยู่ในกรงไม้ ฉันจะอยู่ในกรงเหล็ก
ฉันไม่อยู่ในกรงเหล็ก ฉันจะอยู่ในกรวงเงิน
ฉันไม่อยู่ในกรงเงิน ฉันจะอยู่ในกรงนาก
ฉันไม่อยู่ในกรงนาก ฉันจะอยู่ในกรงทอง”

นิทานพื้นบ้านภาคใต้ แม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว5

พระราชาจึงเปลี่ยนกรงไม่ไผ่เป็นกรงทองฝังเพชร นกน้อยดูร่าเริง ร้องเพลงเสียงเพราะ…วันหนึ่งพระราชาตกพระทัยเมื่อมาดูนกน้อย…ปรากฏตัวเป็นหญิงสาวสวยดั่งนางฟ้านั่งอยู่ในกรงนก…ซูไบดาจึงกราบทูลว่าเธอได้รับการเนรมิตด้วยอำนาจพญานกเลยกลายเป็นนกน้อย…บัดนี้อำนาจมนต์พญานกเสื่อมหมดแล้ว เธอจึงกลับกลายเป็นคนดังเดิม…พระราชาเอาปีกและหางนกไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้เธอได้เป็นนกอีก…หลังจากนั้นได้จัดงานอภิเษกสมรสกับซูไบดาและครองบ้านเมืองอย่างมีความสุข

นิทานพื้นบ้านภาคใต้_แม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว6

Credit: trueplookpanya.com

The post นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องแม่จ๋าแม่แค่อ้อยเพียงลำเดียว appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องพญาไก่ป่า

$
0
0

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องพญาไก่ป่า
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน พญาไก่ป่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นพญาไก่ป่า มีไก่เป็นบริวารหลายร้อยตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีนางแมวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของไก่ป่านั้น มันเที่ยวใช้อุบายล่อลวงจับไก่ป่ากินเป็นอาหารเกือบหมด พญาไก่ป่าทราบว่าบริวารถูกนางแมวจับกินไปเกือบหมดก็ไม่ไปใกล้ที่อยู่ของมัน

หลายวันต่อมา เมื่อไม่เห็นไก่ตัวใดไปใกล้ที่อยู่ของตน นางแมวจึงต้องดั้นด้นมาหาไก่เสียเอง มันเดินย่องเข้าไปใต้โคนไม้ที่พญาไก่ป่าจับอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อไก่น้อยสีแดง ผู้มีขนสวยงาม เจ้าลงมาจากกิ่งไม้เถิด เราจะยอมเป็นภรรยาท่าน” พญาไก่ป่ารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของมันจึงตอบไปว่า “นางแมวเอ๋ย เจ้าเป็นสัตว์ 4 เท้าที่สวยงาม ส่วนเราเป็นสัตว์ 2 เท้า แมวกับไก่อยู่ร่วมกันไม่ได้ดอก เชิญท่านไปหาผู้อื่นเป็นสามีเถิด

นางแมวไม่ลดละความพยายามยังพูดออดอ้อนว่า “พ่อไก่น้อย ฉันจะเป็นภรรยาผู้สวยงาม ร้องเสียงไพเราะเพื่อเจ้า เจ้าจะรู้ว่าฉันเป็นภรรยาสาวพรหมจรรย์ที่สวยงาม ร้องเสียงไพเราะเพื่อเจ้า เจ้าจะรู้ว่าฉันเป็นภรรยาสาวพรหมจรรย์ที่สวยงามและมีความสุขที่สุด” พญาไก่ป่าจึงพูดขู่นางแมวไปว่า “นางแมวเอ๋ย เจ้ากินซากศพ ดื่มเลือด กินไก่บริวารของเราแล้ว จงไปเสียเถอะ”นางแมวเมื่อรู้ว่าพญาไก่ไม่หลงกล ก็รีบวิ่งหนีกลับไปอย่างผู้ผิดหวังและไม่กลับไปหากินที่นั่นอีกเลย

พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานจบ ได้ตรัสพระคาถาว่า “ผู้ใดรู้ไม่เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน …ผู้นั้นจะตกอยู่ในอำนาจของศัตรูและจะเดือดร้อนภายหลัง …ส่วนผู้ใดรู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน …ผู้นั้นจะพ้นจาการเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากนางแมวฉะนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้มีปัญญา…รู้เท่าทันเหตุการณ์ย่อมสามารถรู้รักษาตัวรอดได้”

Credit: dhammathai.org

The post นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องพญาไก่ป่า appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องกบกินเดือน

$
0
0

นิทานพื้นบ้านเรื่องกบกินเดือน เป็นตำนานการเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคา ที่เล่าสู่กันมาแต่โบราณ นิทานเรื่องกบกินเดือนมีเรื่องเล่าในแบบล้านนา และเรื่องเล่าแบบอีสาน วันนี้เราจะมาเล่าสู่ในแบบนิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องกบกินเดือน ของชาว (ลาว) อีสาน จากหนังสือ ไทบ้านดูดาว ที่เขียนโดย “นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว” …ที่มีเรื่องราวดังนี้

ครอบครัวหนึ่ง มีฐานะยากจนมีลูกชายสองคน พี่ชายชื่อ สุริยคราส น้องชายชื่อ จันทรคราส วันหนึ่งพ่อและแม่ไปหาเผือกมันในป่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร สองพี่น้องก็ทานอาหารจนหมดไม่ได้แบ่งอาหารเผื่อไว้ให้พ่อกับแม่ เมื่อพ่อแม่กลับมาถึงบ้านจึงโกรธลูกทั้งสองมากจึงไล่ออกจากบ้าน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน ตำนานการเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคา กบกินเดือน

สองพี่น้องหนีเข้าไปในป่า ในระหว่างทาง เทวดาที่เป็นเทพพระอาทิตย์และพระจันทร์ เห็นว่าทั้งสองเป็นคนดีเลยช่วยเหลือโดยการปลอมตัวเป็นงูเห่าและพังพอนต่อสู้กัน ครั้นพอฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตจึงไปกัดเปลือกไม้มาพ่นใส่ร่างกายจึงฟื้นคืนมาได้ สองพี่น้องจึงเก็บเอาสมุนไพรใส่ห่อยาเดินทางไปด้วย ในระหว่างทางพบกากินลูกไทรแล้วตกลงมาตายจึงเอายาสมุนไพรเป่า ทำให้กาฟื้นขึ้นมาได้ กาจึงขอเป็นทาสรับใช้ สองพี่น้องเดินทางไปเรื่อย ๆ พบปลาดุก, ไก่, ช้าง, แลน (ตะกวด) และกบตาย ก็เอายาสมุนไพรเป่าจนสัตว์เหล่านั้นฟื้นขึ้นมาและยอมเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางต่อไปถึงเมืองหนึ่ง สุริยคราสผู้เป็นพี่ได้แต่งงานและมีครอบครัวกับสาวชาวบ้าน

ฝ่ายจันทรคราสเดินทางไปถึงเมืองเพ็งจาน ในช่วงนั้นลูกสาวเจ้าพระยาตาย จึงประกาศว่าหากใครรักษาลูกสาวฟื้นคืนมาได้จะให้แต่งงานด้วย จันทรคราสจึงรักษาลูกสาวเจ้าพระยาให้ฟื้นคืนมาได้ ฝ่ายเจ้าพระยาเห็นว่าไม่สมศักดิ์ศรีจึงบอกว่าถ้าขึ้นปราสาทเสาเดียวได้จึงจะยกให้ตามสัญญา จันทรคราสจึงนำใบตองกล้วยที่กำลังห่อม้วนตัวก่อนที่จะเติบโต (ตองกล้วยลับแลน) มาห่อตัวแลน และเกาะหลังแลนปีนขึ้นปราสาทเสาเดียวได้ จึงได้ครองเมืองและแต่งานกับลูกสาวเจ้าพระยาสืบมา

ต่อมาสองพี่น้องคิดถึงพ่อแม่ที่จากมานานจึงกลับไปเยี่ยมบ้าน โดยได้สั่งธิดาเจ้าเมืองว่าห้ามนำยาสมุนไพรออกมาผึ่งในคืนเดือนเพ็ญ เพราะจะทำให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ลงมาเอายาสมุนไพรคืน สองพี่น้องจึงเดินทางด้วยเรือสำเภา พร้อมนำเอาทองคำใส่กระบอกไม่ไผ่ไปให้พ่อแม่ ฝ่ายพ่อแม่เมื่อได้รับกระบอกไม่ไผ่จึงบอกว่าที่นี้มีไม้ไผ่เยอะ ไม่เห็นจะอดอยาก จึงโยนทิ้งลงข้างบ่อ พี่น้องสองคนเสียใจมากจึงเดินทางกลับ

ฝ่ายธิดาเจ้าพระยา (ถูกเทวดาดลใจ) จึงนำเอาสมุนไพรออกมาผึ่งในคืนเดือนเพ็ญ ทำให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ลงมาขโมยสมุนไพรนั้นกลับคืน เมื่อจันทรคราสกลับถึงเมืองได้ทราบว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์มาเอายาสมุนไพรไป จึงปรึกษาเพื่อนพ้องสัตว์ที่เคยช่วยเหลือชีวิตไว้ ได้แก่ ช้าง กา ปลาดุก และไก่ขึ้นไปเอายาสมุนไพรคืน สัตว์ต่าง ๆ ที่ขึ้นสู่อากาศจะถูกลมพัดกระจัดกระจายไปเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้าจนหมด

ส่วนกบอาสาขึ้นไปทีหลัง จึงสั่งไว้ว่าให้ตีฆ้อง ตีกลอง ยิงปืนช่วยเวลาที่จะไปถึงพระจันทร์และพระอาทิตย์ ทำให้คนบนโลกต้องยิงปืน ตีกลอง ตีฆ้องช่วยกบ ขณะที่กบกินเดือน จนปัจจุบันกบก็ยังไม่ได้สมุนไพรวิเศษคืนยังตามต่อสู้กับพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่

นอกจากนี้ ในหนังสือ ไทบ้านดูดาว ยังกล่าวถึงบันทึกในสมุดไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ กล่าวถึงความเชื่อของชาวบ้านที่สัมพันธ์กับการเกิด กบกินเดือน ไว้ดังนี้
กินแล้วขี้ หรือจันทร์สว่างด้านล่างก่อน ปีนั้นข้าวจะแพง
กินแล้วคาย หรือจันทร์สว่างด้านบนก่อน ปีนั้นสินค้าจะแพง
กินแล้วพุงแตก หรือจันทร์สว่างด้านข้างก่อน ปีนั้นคนท้องจะมีอันตราย

Credit: astroeducation.com
Photo credit:lokwannakadi.com/wannakadi/16.jpg#sthash.jNIBKRHb.dpuf

The post นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องกบกินเดือน appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องกินเหล้าอายุยืน

$
0
0

นานมาแล้วมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งชอบกินเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ งานการก็ไม่เคยนำพาเรื่องบุญกุศลก็ไม่เคยทำ แต่การทำบาปแกก็ไม่เคยทำเช่นกัน ครอบครัวของแก มีอยู่ด้วยกันสามคน คือ ตัวแกเองพร้อมด้วยเมียและลูกอีกคนหนึ่ง ชายคนชอบกินเหล้าผู้นี้คิดอยู่เสมอว่าก่อนที่แกจะตายลงนั้นก็ขอให้ลูกชายได้บวชเสียก่อน เพราะแกอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูก แต่ชายคนนั้นก็ได้ตายลงเสียก่อนที่จะได้บวชลูก เมื่ออายุของแกได้ห้าสิบปีพอดีก่อนที่จะตายนั้น แกได้สั่งให้ลูกเมียของแก เอาเหล้าใส่โลงไปด้วยสักสองสามขวดเผื่อหิวเหล้าขึ้นมาก็จะได้กินในปรโลก

นิทานพื้นบ้านภาคใต้ กินเหล้าอายุยืน

เมื่อชายคนนั้นได้ลงไปอยู่ในเมืองนรกแล้ว ยมบาลก็ถามว่า “ทำไมถึงได้ชอบกินเหล้านักล่ะ เหล้านั้นมันเอร็ดอร่อยมากหรือไรกัน” แกก็ตอบออกไปว่า “อันเหล้านั้น ถ้าได้กินมันเข้าไปแล้ว ก็จะ…….รู้รสชาติทันทีว่า ไม่มีอะไรแล้วในโลกมนุษย์จะอร่อยเท่า บอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้ว่ามันมีรสชาติอย่างไร ต้องกินดูเองถึงจะ……รู้” ยมบาลจึงพูดว่า “ในเมืองนรกของเรานี้ไม่มี ไม่งั้นแล้วเราจะลองชิมดูว่ามันจะเอร็ดอร่อยเหมือนดังคำกล่าวของท่านจริงหรือไม่” ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้นจึงบอกกับยมบาลว่า “แกได้นำมันมาด้วย ถ้ายมบาลจะลองชิมดูก็มีให้ลอง” ยมบาลจึงได้ชิมเหล้าของชายคนนั้นเข้าไป ชิมไปๆ ยมบาลก็ชักติดใจในรสชาติของมัน จึงได้ขอเหล้าชายคนนั้นกินจนหมดขวด ยมบาลจึงได้เมาขึ้นมาทันที เพราะไม่เคยกินเหล้ามาก่อน หรือเพราะคอยังอ่อนอยู่นั่นเอง

ในเวลาต่อมา ยมบาลก็ได้ชอบพอกันกับชายคนนั้น จนกระทั่งสัญญาเป็นเพื่อนเกลอกัน แล้วบอกชายคนนั้นว่า “ถ้าแกต้องการอะไรที่พอผ่อนปรนกันแล้วก็ขอให้บอกมาเถิดเราจะช่วยเหลือ” ชายคนนั้นจึงบอกยมบาลว่า “ในชีวิตของแกไม่เคยได้ทำบุญอะไรเลย แกจึงอยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายสักครั้ง” แล้วแกจึงขอร้องต่อ ยมบาลว่า “ขอมีอายุต่อไปอีกแค่ปีเดียวเท่านั้น เพื่อบวชลูกชายได้หรือไม่” ด้วยความรักใคร่สงสารต่อชายผู้นั้นเป็นพิเศษ ยมบาลก็อนุญาตด้วยการต่ออายุให้ แล้วลงไว้ในบัญชีของยมโลก โดยยมบาลเพิ่มอายุให้อีกหนึ่งปี จึงได้เขียนเลข 1 ต่อจากเลข 50 ซึ่งเป็นอายุขัยของชายผู้นั้นลงในบัญชีทันที แต่ด้วยความเมาของยมบาลเอง จึงเลยลืมลบเลข 0 ออกเสียก่อน จึงกลายเป็นว่าชายคนนั้นมีอายุไปจนถึง 501 ปี

เมื่อยมบาลต่ออายุให้แล้ว ชายผู้ชอบกินเหล้าคนนั้นก็ได้ฟื้นกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง แกก็ได้จัดการบวชลูกชาย จนได้เห็นชายผ้าเหลืองสมความตั้งใจแล้ว แกก็รอวันตายของแกเรื่อยมาแต่ก็ไม่ตายสักที จนกระทั่งเมีย ลูก หลาน เหลน ได้พากันตายไปแล้วเกือบทุกคนแต่แกก็ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง ทำให้ชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่อย่างทรมานใจเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ และเห็นคนที่แกรักตายจากไปทีละคนสองคนอยู่เสมอ (ผู้เล่า: นายแวะ ขนอม)

Credit:
วิมล คำศรี. “นิทานพื้นบ้าน: กินเหล้าแล้วอายุยืน” ในสารนครศรีธรรมราช. 24:6 (มิถุนายน 2537), หน้า 92-93.

The post นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องกินเหล้าอายุยืน appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องความหวังดีของบิดาที่มีต่อลูกสาว

$
0
0

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องความหวังดีของบิดาที่มีต่อลูกสาว เป็นนิทานพื้นบ้านน่าอ่านและเป็นสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราว อดีตความเป็นมาของคนภาคกลางในยุคก่อน ทั้งเรื่องควาทเชื่อ วัฒนธรรม สังคม ก็เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมเก่าได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่ง

กาลนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังไม่มีแปรงสีฟันใช้นั้น มีคหบดีผู้หนึ่งมีความรักใคร่
เอ็นดูบุตรสาวของตนมาก เพราะบุตรสาวของเขานั้นเป็นหญิงที่งามทั้งใบหน้า และกริยา

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง ความหวังดีของบิดาที่มีต่อลูกสาว

วันหนึ่งเห็นว่าบุตรสาวของตนชักจะมีขี้ฟันมากเกรอะกรังอยู่ไรฟันเต็มไปหมด
เวลาพูดจาหรือเข้าใกล้ก็มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง คหบดีผู้นั้นคิดว่าถ้าจะปล่อยให้สภาพการณ์
เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นอกจากพวกหนุ่มๆที่เข้ามาติดตอมจะเอือมระอาแล้ว ย่อมเป็นที่
รังเกียจของสังคมด้วย แต่ก็ไม่กล้าบอกบุตรสาวตรงๆเพราะเกรงบุตรสาวจะอับอาย
จึงได้หาอุบายโดยบอกให้บุตรสาวไปหาอ้อยมากินให้มากๆ เพื่อผิวพรรณจะได้สวยงาม
ยิ่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วอ้อยเหล่านั้นจะได้ช่วยแปรง และแทะขี้ฟันให้หลุดไปได้

เขาจึงได้ให้เงินลูกสาวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ไปหาซื้ออ้อยที่สวนข้างๆ บ้านมาไว้กิน
แต่ขณะที่บุตรสาวเดินไประหว่างทางยังไม่ทันถึงสวนอ้อย เห็นพ่อค้าหาบเผือกต้มสวนทางมา
หล่อนอยากกินเป็นกำลัง จึงซื้อเผือกกินเสียจนหมดเงินแล้วจึงเดินกลับบ้าน
บิดาเห็นหล่อนเดินมาแต่ไกลจึงนึกดีใจว่าขี้ฟันของลูกสาวตนคงหมดเกลี้ยงดีแล้ว
แต่ที่ไหนได้พอหล่อนเผยอยิ้มเท่านั้น ขี้ฟันกลับพอกพูนเกรอะกรังส่งกลิ่นตลบยิ่งขึ้น
เพราะเผือกได้เข้าไปจับเกาะเต็มไปหมด คหบดีผู้นั้นเกือบล้มทั้งยืน

คหบดีจึงถามบุตรสาวว่า “อีหนู เอ็งไม่ได้ไปซื้ออ้อยกินหรอกหรือ
เปล่าจ้ะพ่อ ฉันนึกอยากกินเผือกต้ม เลยซื้อกินเสียอิ่ม” บุตรสาวตอบ
ชะอีเวร นี่เองขี้ฟันจึงมากขึ้นตั้งบุ้งกี๋

บุตรสาวได้ยินดังนั้นจึงทราบถึงอุบายของบิดา…ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จึงหมั่นซื้ออ้อยกินทุกๆ วัน ฟันจึงสะอาดหมดจดยิ่งขึ้น

Credit: happymomy.com
Photo credit: oknation.net/blog/sancity45-meet/2009/08/27/entry-1

The post นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องความหวังดีของบิดาที่มีต่อลูกสาว appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานก่อนนอน นิทานเด็ก เรื่องกลิ่นปากสิงโต

$
0
0

นิทานเด็ก นิทานก่อนนอนพร้อมภาพประกอบ เรื่องกลิ่นปากสิงโต เป็นนิทานอีสป นิทานเรื่องสั้นที่มีรูปภาพประกอบ เหมาะทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ อ่านสนุกเพลิดเพลิน และให้แง่คิดสอนใจที่ดีไว้ด้วย

นิทานก่อนนอน เรื่องกลิ่นปากสิงโต

กาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว มีสิงโตตัวหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่มันกินเนื้อสัตว์มาก ทำให้ปากของมันมีกลิ่นเหม็น ….. อยู่มาวันหนึ่ง มันอยากรู้ว่ากลิ่นปากของมันเหม็นแค่ไหน มันจึงเอ่ยปากถามแกะตัวหนึ่งที่เดินผ่านมาว่า”เจ้าเเกะกลิ่นปากของข้าเป็นอย่างไร” แกะเมื่อดมกลิ่นปากเเล้วก็ตอบไปด้วยความเชื่อว่า “กลิ่นปากของท่านเหม็นมากกก” สิงโตได้ฟังเเล้วโกรธและจับเเกะกินเป็นอาหารทันที

นิทานเด็ก นิทานสั้น กลิ่นปากสิงโต

สิงโตเดินต่อมาจนได้พบกับหมาป่า มันจึงถามเรื่องกลิ่นปากของมันอัก เมื่อหมาป่ารู้เช่นนั่นจังมีความกลัวที่จะถูกจับกินก็รีบพูดป้อยอว่า”กลิ่นปากของท่านหอมมากกกก” สิงโตรู้ดีว่าหมาป่าโกหกจึงตะปบหมาป่ากินเป็นอาหารอีกตัวหนึ่ง

นิทานก่อนนอน กลิ่นปากสิงโต

เเละเมื่อสิงโตเดินมาพบสุนัขจิ้งจอก มันก็ถามคำถามเดิมอีก สุนัขจิ้งจอกได้กลิ่นคาวเลือดจากปากสิงโตก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น มันจึงหาทางออกอย่างฉลาดและนุ่นนวลว่า “ขอโทษทีเถิดท่าน…บังเอิญข้าเป็นหวัด…จมูกไม่ได้กลิ่นอะไรเลย…ขอท่านจงช่วยไปสอบถามสัตว์ตัวอื่นเถิด

นิทานเด็ก นิทานก่อนนอน กลิ่นปากสิงโต

สิงโตได้ฟังเช่นนั้น …จึงเดินจากไปด้วยดี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
รู้รักษาตัวรอด…เป็นยอดดี
คนที่มีสติปัญญา…ย่อมเอาตัวรอดได้เสมอ

Credit: 553011510169.blogspot.com/2015/04/blog-post.html

The post นิทานก่อนนอน นิทานเด็ก เรื่องกลิ่นปากสิงโต appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องปุ๋ยลำไย

$
0
0

นิทานล้านนา เรื่อง ปุ๋ยลำไย
ลุงทาเป็นชาวสวน แกทำสวนลำไยกว้างขวาง ในฤดูลำไยออกดอกออกผล แกมีความสุขใจที่สุด ดังนั้นตลอดวันแกจะขลุกอยู่แต่ในสวนลำไยตลอดเวลา ลุงทาจะคอยเอาใจใส่ดายหญ้า พรวนดิน และใส่ปุ๋ยรดน้ำ

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ _ปุ๋ยลำไย

ครั้นฤดูร้อนย่างเข้ามา ทางเทศบาลเบื่อสุนัข ลุงทาจะชื้ อซากสุนัขเหล่านั้นจากพนักงาน แล้วนำเอาไปฝั่งไว้ที่โคนต้นลำไยต้นละตัว การที่แกทำเช่นนี้ทำให้สวนลำไยของแกงอกงามยิ่งนัก จนแกบอกกับใครๆ ว่า การเอาสัตว์ที่ตายแล้วไปฝังโคนต้นช่วยให้ต้นลำไยเจริญเติบโตรวดเร็วยิ่งนัก ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองดูเถิด มันโตวันโตคืนเชียว

วันหนึ่งลุงเขียวเพื่อนบ้านได้แวะไปเยี่ยมลุงทาที่บ้านแต่ไม่พบ แกจึงแวะไปหาที่สวนลำไย พอดีขณะนั้นย่างเข้าฤดูร้อน ไก่แก่กำลังเป็นโรคระบาดตายกัน และลุงเขียวเป็นนักเลี้ยงไก่ ที่บ้านแกมีไก่มากมาย ลุงทาเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเอ่ยปากบอกลุงเขียวว่า ‘’เขียว เขียว ถ้าไก่คิงตาย ฮาขอเหียเน่อ‘’ (เพื่อน ถ้าไก่ตายขอเสียนะ)

ลุงเขียวได้ยินชักโมโหที่เพื่อนมาพูดเช่นนี้เป็นการแช่งให้ไก่ของตนตาย จึงถามออกไปอย่างโมโหนิด ๆว่า
‘’ถ้าไก่ฮา (ฉัน) ตาย คิง (เพื่อน) จะเอาไปยะหยัง‘’ ((ทำไมล่ะ) ถ้าไก่ฉันตายจริงจะเอาไปทำอะไรล่ะ)
ลุงทาได้ยินไม่คิดว่าเพื่อนของตนโมโหจึงกล่าวว่า ‘’ถ้าได้ไก่ตาย ฮา (ฉัน) ก็จะเอามาใส่ต้นลำไยเป็นปุ๋ยละก่า‘’ (ละซิ)

นิทานพื้นบ้าน_นิทานสอนใจ_เรื่องปุ๋ยลำไย

ลุงเขียวชักฉุน เลยกล่าวต่อไปว่า ‘’ถ้าจะอั้นกันงัวของฮาต๋ายลอ คิงจะเอาก่อ” (ยังนั้นถ้าวัวของฉันตายจะเอาไหมล่ะ) ลุงทาหัวเราะว่า ‘’เอาก่า เอาก่า ถ้างัวของคิงตาย ฮาจะแบ่งใส่ได้หลายต้น ขอคิงฮื้อแต้ๆ เต็อะ” (เอาซี เอาซี ถ้าวัวเพื่อนตาย จะได้แบ่งฝังได้หลายต้น ขอให้ก็แล้วกัน) แกตอบไปอย่างพาซื่อ

ลุงเขียวชักหมั่นไส้ในความเห็นแก่ตัวของเพื่อนจึงพูดตัดบทว่า ‘’ถ้าจะอั้นรถบดถนนต๋ายคิงจะเอาก่อ บ่าเดี๋ยวนี้มีหลายกันจอดอยู่ในโฮงรถข้างก๋มทาง” (ถ้างั้นรถบดถนนตายล่ะจะเอาไหมเดี๋ยวนี้มีหลายคันอยู่ในโรงรถนั้น)

ลุงทาได้ฟังจึงรู้ว่าลุงเขียวพูดเล่นแง่กับตน จึงโมโหและโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า ”ดีก่าบ่าถ้ารถบดต๋ายแต้ ๆ ฮาจะเอาเป็นปุ๋ยสากมอง ไปไป้ปู่เขียว กำเดียวจะหัวแตก” (ดีซี ถ้ารถบดถนนตายกัน จะเอาเป็นปุ๋ยสากตำข้าว)

ลุงเขียวรู้ท่าว่าเพื่อนของตนโกรธจึงรีบก้าวเท้าจ้ำเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง พร้อมกับบ่นพึมพำว่า ‘’คนอะหยังจะใดจะเอาก่าได้ฝ่ายเดียว” (คนอะไรจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความโลภเป็นสมบัติของคนเห็นแก่ตัว และพูดอะไรมักขาดเหตุผล …
หรือการขออะไรจากใคร…พึงขอในสิ่งที่ควรขอ (ดูความเหมาะสม และพูด/ทำ ให้ถูกกาลเทศะ)

Credit: openbase.in.th

The post นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องปุ๋ยลำไย appeared first on BKKSEEK.COM.


นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องปู่ตั๋วหลาน

$
0
0

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องปู่ตั๋วหลาน (ปู่โกหกหลาน) เป็นเรื่องราวนิทานพื้นบ้านจากคำบอกเล่าของ นายวัน ทองคำ ผู้ใหญ่บ้านคำเม็ก หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งแด้ อำเภอเมืองยโสธร

นิทานพื้นบ้านอีสาน ปู่ตั๋วหลาน

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …ขณะที่กุดจี่สองตัวผัวเมียกำลังช่วยกันกลิ้งเบ้า (ลูกดินกลมๆที่ห่อหุ้มไข่กุดจี่) ไปตามทางผ่านหน้าหมาตัวหนึ่ง …หมาสงสัยก็ถามว่า “จะพากันไปไหน” กุดจี่ตอบว่า “จะไปเมืองลังกา” (กรุงลงกา ในเรื่องรามเกียรติ์)
หมาก็ยิ่งสงสัยว่า “ไปทำอะไรหรือ
กุดจี่ตอบว่า “ได้ข่าวว่าเมืองลงกาถูกหนุมานเผาเมืองไหม้วอดวายหมด รวมทั้งครกที่ตำอาหารก็ไหม้ จะเอาเบ้าไปทำครกถวายพระเจ้าเมืองลังกา
หมายิ่งงงและถามไปอีกอย่างดูถูกดูแคลน “ว่าจะไปถึงเร้อ?…แล้วเบ้าแค่นี้จะทำครกได้อย่างไรกัน
กุดจี่ตอบทันควันว่า “นี่กะว่าจะไปกินงายเมืองลังกาโน่นแหละวันนี้ (หมายถึง จะไปให้ทันกินข้าวเช้า) แล้วก้อนดินนี้จะปาดออกให้เป็นครก ๓ ใบก็ได้
…หมาได้ฟังก็งึดมาก (งึดนี้ แปลว่า งงหรือแปลกใจอย่างสุดๆเลย) …ตั้งแต่นั้นมาหมาไม่กินกุดจี่เลย โดยถือว่ากุดจี่มีความสามารถมากกว่าตัวเอง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว…หมาทุกตัวจะเมินไม่ยอมกินกุดจี่ ไม่ว่าจะตัวสด หรือคั่ว ทอดจนสุกแล้วก็ตาม …ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า…จริงๆแล้วจะเป็นเพราะหมาไม่ถูกกับกลิ่นขี้ควายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้

Credit: baanmaha.com
Photo credit: soisiriteacher.igetweb.com

The post นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องปู่ตั๋วหลาน appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานก่อนนอน นิทานเด็ก เรื่องแมวกับคนใจคด

$
0
0

นิทานก่อนนอน เรื่องแมวกับคนใจคด เป็นนิทานเด็ก นิทานอีสป นิทานเรื่องสั้น นิทานพร้อมภาพประกอบสวยงาม สนุกสนานเพลิดเลิน และให้แง่คิดสอนใจได้ดีทั้งเด็ก…และผู้ใหญ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…

นิทานเด็ก เรื่องแมวกับคนใจคด

มีหญิงชราคนหนึ่งไม่มีลูกหลาน
อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง
บ้านของเธอนั้นใหญ่โตกว้างขวางมาก
จนหญิงชราไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง
กระทั่งพวกหนูมากัดทำลายข้าวของ
จนเสียหายทุกวัน

นิทานก่อนนอน แมวกับคนใจคด

หญิงชราทนความรำคาญไม่ไหว
จึงไปขอร้องแมวตัวหนึ่งให้มาอยู่ด้วย
และสัญญากับแมวว่าถ้าแมวช่วยจับหนู
ให้หมดบ้าน นางจะให้แมวอยู่ด้วยจนชั่วชีวิต
แมวนั้นดีใจมาก มันจึงออกจับหนูทุกวันไม่ได้หยุด
จนกระทั่งหนูออกไปจากบ้านหญิงชราจนหมด

นิทานก่อนนอน นิทานเด็ก แมวกับคนใจคด

วันหนึ่ง…ขณะที่แมวกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น
มันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะหญิงชรา
ได้หวดไม้เรียวลงมาบนตัวของมันอย่างแรง
เจ้าจับหนูหมดแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์กับข้าอีกต่อไป…
ออกไปจากบ้านของข้าได้แล้วเจ้าแมวขี้เกียจ
หญิงชราตวาดแมว…
แมวจำใจออกจากบ้านของหญิงชรา ด้วยความเจ็บแค้น

นิทานก่อนนอน เรื่องสั้น แมวกับคนใจคด

เมื่อพวกหนูรู้ข่าวว่าบ้านของหญิงชราไม่มีแมวแล้ว
ก็พากันอพยพกลับมาใหม่
หญิงชราจึงออกไปหาแมวและพูดอ้อนวอนให้แมวกลับมาอยู่อีก
พอที!!!…นางใจร้าย…
ข้าจะไม่ยอมช่วยเหลือ…คนที่ไม่มีสัจจะอย่างเจ้าอีกแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ที่ไร้สัจจะ…แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่อยากเป็นมิตรด้วย

Credit: fonthome.exteen.com

The post นิทานก่อนนอน นิทานเด็ก เรื่องแมวกับคนใจคด appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องสองสัตว์

$
0
0

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องสองสัตว์ เป็นนิทานล้านนา มีเนื้อเรื่องที่เล่าสู่กันฟังเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีแง่คิดสอนใจที่ดีให้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ และสามารถเล่าเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับคุณหนูๆได้เป็นอย่างดี (เล่าโดย นายคำรณ เดชประยุทธ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่)

ในกาลก่อนมีสัตว์สองตัวเป็นเพื่อนกัน …เวลาไปหากินหรือไปในที่ใดๆ มักจะไปด้วยกันเสมอสัตว์คู่นี้ได้แก่ บ้วน (นาก) กับกระต่าย …มันหากินอยู่ตามริมฝั่งน้ำปิงเป็นประจำ

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องสองสัตว์

อยู่มาวันหนึ่ง นากออกไปหากิน มองเห็นช่องว่างคิดว่าเป็นทางน้ำจึงว่ายเข้าไป พอเข้าไปแล้วปรากฏว่าไปชนสายใยประตูกะต้ำ (เครื่องดักจับปลาชนิดหนึ่งที่ทำไว้ตามข้างตลิ่ง หันหน้าล่องใต้ พอปลาตัวโตเข้าไปเมื่อชนสายใย สลักจะหยุด ประตูจะเลื่อนตกลงมาปิดไว้ทันที ทำให้ปลาออกไม่ได้) …นากพยายามหาทางออก แต่ทำอย่างไรก็ออกไม่ได้ มันร้องขอให้กระต่ายช่วย …กระต่ายลงมาดูเห็นกะต้ำแน่นหนาเกินกว่ากำลังน้อยๆ ของตนจะรื้อหรือทำลายได้

ขณะนั้นพอดีนายพรานผู้วางกะต้ำ จึงตรงเข้าไปดูเห็นนากติดอยู่ก็ดีใจ …ส่วนกระต่ายเห็นคนเดินมาจึงหลบซ่อนตัวนิ่งอยู่ข้างๆ กอหญ้า …นากพอเห็นนายพรานเปิดประตูกะต้ำออก มันแกล้งทำเป็นตาย กลั้นลมหายใจ เบ่งท้องให้พองคล้ายกับตายมานานแล้ว …เมื่อกระต่ายแลเห็นนายพรานจับเพื่อนของตนขึ้นมาเช่นนั้น …กระต่ายจึงกระโดดออกมา และดิ้นรนกระเสือกกระสนคล้ายกับถูกตีหรือถูกยิง แล้วนอนนิ่งบนหาดทรายห่างจากกะต้ำไม่ไกลนัก …

นายพรานมองเห็นกระต่ายมานอนดิ้นตาย ดีใจรีบขึ้นจากน้ำ …วางนากลงกับพื้น วิ่งตรงเข้าไปเพื่อจะจับกระต่ายอีกตัว …นากพอเป็นอิสระจึงกระโดดลงน้ำหนีไป …กระต่ายเห็นเพื่อนของตนหนีลงน้ำไปได้รีบลุกขึ้นกระโดดวิ่งหายเข้าป่าไป …ตกลงนายพรานไม่ได้สัตว์อะไรเลยแม้แต่ตัวเดียว!!

• “กะต้ำ” เป็นเครื่องจับปลาโดยกั้นเป็นคอก มีประตูสำหรับปลาว่ายเข้าไป เมื่อปลาชนสายใยประตูจะปิดลง
• “นาก” เป็นสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นฝูง ๆ เที่ยวหากินปลาในน้ำ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. คนที่มีสติปัญญา…ย่อมเอาตัวรอดได้เสมอ
2. โลภมาก…ลาภหาย

Credit: เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ “ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน”

The post นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องสองสัตว์ appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องตำนานขนมครก

$
0
0

คุณๆรู้หรือไม่ว่า”ขนมครก” สูตรขนมไทยของเรานั้นก็มีเรื่องเล่าเป็นตำนานขนมครกด้วยนะ เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วที่เป็นอีกหนึ่งนิทานพื้นบ้านไทย…อยากรู้กันบ้างไหมละว่าขนมอร่อยหอมหวานๆ แบบนี้จะมีเรื่องราวความเป็นมาแสนหวานเหมือนขนมหรือเปล่า!! ถ้าอยากรู้แล้วก็เชิญติดตามไปพร้อมๆกัน เรื่องมีอยู่ว่า…

นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องตำนานขนมครก

ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย

ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน

ไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง

คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!…ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว …

รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..

พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย

ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า “จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป” ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม “ขนมแห่งความรัก” หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า ‘ขนม ค-ร-ก‘ นั่นเอง

Credit: ทรายขวัญ ชนะสิทธิ์ pcctrg
gotoknow.org/posts/520690

The post นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องตำนานขนมครก appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพระนางจามเทวี

$
0
0

นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นนิทานในลักษณะตำนานที่เกี่ยวกับกรุงอโยธยา กรุงอโยธยาหมายถึง “กรุงอโยธยาเดิม“คือ หน้าสถานีรถไฟไปทางทิศตะวันออกเราจะเห็นมีวัดเดิมอยู่คือ “วัดอโยธยา” เป็นตำนานซึ่งมีผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า …เป็นเมืองหลวงเก่าซึ่งมีก่อนกรุงศรีอยุธยา

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง พระนางจามเทวี

มีพระมเหสีของเจ้าเมืองอโยธยาองค์หนึ่ง ชื่อ”พระนางจามเทวี” เป็นราชธิดาของกษัตริย์กรุงละโว้ ซึ่งได้ยกพระธิดาให้เจ้าเมืองอโยธยา พระนางก็ได้มาอยู่ที่กรุงอโยธยาจนกระทั่งกษัตริย์กรุงอโยธยาเสด็จสวรรคต พระนางจามเทวีจึงได้ปกครองกรุงอโยธยา เมื่อปกครองแล้วข้าราชบริพาร ทหาร เสนา อำมาตย์ต่างๆ ไม่พอใจในพระนาง ก็เลยคิดการจับพระนางจามเทวี และสถาปนาราชวงศ์ลูกหลานของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดิมขึ้นครองกรุงอโยธยาแทน

ส่วนพระนางจามเทวีนี้ก็ถูกเนรเทศให้ไปครองเมืองที่ไกล พระนางได้ไปอยู่ที่เมืองลำพูน แต่เรียก”หริพุญชัย” พระนางได้ประสูติพระโอรสเป็นฝาแฝด 2 คนด้วยกัน เมื่อประสูติพระโอรสแล้ว พระนางจามเทวีก็คิดจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเพื่อเป็นอนุสรณ์ ก็เลยสร้างเจดีย์ใหญ่ขึ้นที่เมืองหริภุญไชย (ปัจจุบันเรียกว่าเจดีย์หริภุญไชย) เจดีย์นี้เป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของเมือง หริพุญชัย (ปัจจุบันคือ เมืองลำพูน) ส่วนพระโอรส 2 พระองค์เมื่อเจริญวัยขึ้นมา พระนางส่งโอรสขึ้นทางทิศตะวันออก และสร้างเมืองขึ้นคือ “เมืองเขลางนคร (ปัจจุบันคือ ลำปาง)”

จากตำนานเรื่องนี้วิเคราะห์ได้ว่า พระนางจามเทวีจะต้องเป็นคนเก่งและเป็นที่เลื่องลือของประชาชนมาก จึงได้เล่าสืบต่อกันมาว่าพระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่ครองกรุงโบรารณซึ่งเป็นผู้หญิงที่เก่ง แต่ตัวพระนางเองก็ได้ถูกกบฏหรือถูกจับตัวให้ไปครองเมืองอื่น เจ้าเมืองรามปุระ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นเมืองใดแน่ แต่คนกรุงเก่าหรืออยุธยาดั้งเดิมซึ่งเป็นคนเฒ่าแก่บอกว่า พระนางเป็นกษัตริย์ผู้หญิงของอโยธยาเดิมซึ่งมีมาก่อนกรุงศรีอยุธยา

แง่คิดของนิทาน
นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องโบราณ …เป็นตำนานของกรุงอโยธยาและเกี่ยวข้องกับเจดีย์หริภุญไชย เป็นความภูมิใจของคนเก่าๆ แก่ๆว่า …หริภุญไชยเจดีย์ใหญ่นั้น คนอยุธยาเป็นคนสร้างขึ้นมา

Credit: http://ilwc.aru.ac.th/Contents/FolktaleThai/FolktaleThai42.htm

The post นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพระนางจามเทวี appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องพญาคันคาก

$
0
0

นิทานเรื่องพญาคันคาก เป็นนิทานพื้นบ้านภาคอีสานและเป็นตำนานบั้งไฟพญานาค คำว่า “คันคาก” เป็นคำลาวภาคอีสานและสองฝั่งโขง ตรงกับคำไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางว่า “คางคก” มีคำบอกเล่าเก่าแก่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จารบนใบลานเป็นอักษรไทยน้อย เรื่องพญาคันคากรบกัถนเพื่อขอน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล มีความพิสดารสนุกสนานแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น …แต่สาระสำคัญตรงกัน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน พญาคันคาก

คันคากเป็นราชา
พญา คันคาก เป็นราชาครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองบริวารใหญ่น้อย พร้อมใจกันบังคมก้มให้พญาคันคากถ้วนทั่วทุกหัวระแ หง จนลืมส่งสการไหว้สาฟ้าแถนเหมือนแต่ก่อน …ผีฟ้า “พญาแถน” เป็นใหญ่อยู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ครั้นเมื่อฝูงคนทั้งหลายไปภักดีต่อ พญาคันคากหมดสิ้น ผีฟ้าพญาแถนเลยโกรธ ก็ไม่ส่งน้ำฟ้าน้ำฝนหล่นลงมาให้บ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่น้อย จนเกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้าสาหัส

พญาคันคากเห็นความทุกข์ยากของไพร่บ้านพลเมือง ก็มุดลงไปเมืองบาดาลนาค แล้วไต่ถามความนัยว่าเหตุไฉนถึงเกิดภัยแล้ งแห้งน้ำมานานปี …พญานาคจอมบาดาล จึงบอกเหตุว่าเพราะผีฟ้าพญาแถนไม่ให้นาคทั้งหลายขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์เหมือนแต่ก่อน น้ำเลยไม่แตก ฉานซ่านกระเซ็นกระเด็นกระดอนเป็นฝนฝอยหล่นลงมาเลี้ยงโลกมนุษย์ เมืองชมพูและบริวารเลยยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแถนฟ้าเคืองรำคาญผู้คนที่ไม่บัตรพลีดีไหว้ มัวแต่ไปบังคมพญาคันคากนั้นแล …พญาคันคากรู้ความตามจริงก็ยิ่งโกรธพิโรธนัก สั่งให้พญานาคผู้เป็นเมืองบริวารทำทางถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์

คางคกยกรบ
พญานาคพร้อมนาคบริวาร พากันแผ่พังพานพวนขนดแล้วขดขนขุนภูเขาทุกเขตแคว้นแดนมนุษย์เอามาต่อเข้าด้วยกัน บรรดาปล วกระดมขนดินมาถมพอกภูเขา ให้เป็นทางถนนด้นดั้นถึงเมืองแถนในทันที …ฝูงพญานาคครุฑยุดพญานาคมาพร้อมกัน ทั้งฝูงต่อ ฝูงแตน และมิ้ม ผึ้ง มอด มด ทั้งหมดทั้งนั้นมาพร้อมเพรียงกันด้วยสรรพสัตว์สารพัด เสือสิงห์ กระทิง แรด ในปัถพี เมื่อสารพัดสัตว์มาชุมนุมสามัคคีพร้อมกันแล้ว พญาคันคากก็สั่งให้เคลื่อนขบวน ล้วนไพร่พลโยธีไปตามทางถนนหนเหินเดินเป็นหมวดหมู่แถวแนว ตรงแน่วขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์ชั้นฟ้าพู้นแล

พญานาคกับพญาแถนรบรากันสนั่นหวั่นไหวคล้ายเสียงฟ้าร้อง จนกระทั่ง พญาแถนยกมือขึ้นบังคมพนมไหว้ยอมแพ้ ขอเป็นเมืองส่วยสุจริตแต่งน้ำฟ้า หาฝนหล่นลงเมืองมนุษย์ทุกปี แล้วร้องเชิญพญาคันคากเข้าเมืองแถน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน ตำนานบั้งไฟพญานาค พญาคันคาก

คันคากอบรมแถน
ในคุ้มหลวงเมืองแถน บรรดาบริวารพญาแถนทั้งลูก เมียและนางท้าว ร้องขอต่อพญาคันคากที่นั่งเมืองแถนว่า อย่าพิฆาตฟาดฟัน บั่นเกล้าชาวแถนเลย จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ไปนิรันดร

พญาคันคากมีใจเมตตา แล้วเจรจาว่ากล่าวอบรมบ่มนิสัยพญาแถนให้ประพฤติธรรม ต้องเอาใจใส่ดูแลทั้งชาวแถนและชาวมนุษ ย์จนสุดใจดินใจฟ้า ด้วยโลกนี้มีทั้ง ดิน หญ้าและฟ้าแถน ต้องพึ่งพาอาศัยกันมั่นคงถึงจะดำรงอยู่ได้ชั่วฟ้าดิน ถึงฤดูเดือนปีที่นาคต้ องขึ้นมาเล่นน้ำบนฟ้าก็อย่าห้ามปราม เพราะนาคจะได้พ่นน้ำกระแทกคลื่น ดื่นดกตกเป็นฝอยฝนหล่นไปชุบเลี้ยงเอี้ยงดูหมู่มนุษย์ ทำไร่ไถนา ได้พืชพันธุ์ว่านยาอาหารอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่มีน้ำฟ้าน้ำฝน คนในเมืองมนุษย์สุดลำบาก จะได้ยากโหยหิวชิวหาดังราไฟ เมื่อไม่มีพืชพันธุ์ว่านยาอาหารเลี้ยงชีวังสังขาร แล้วจะเอาอะไรส่งสักการสังเวยให้แถนกินบนฟ้า แถนฟ้าก็ต้องเงือดงดอดตายไ ม่เป็นสุข นอกจากคนทั้งหลายแล้ว ในเมืองมนุษย์ยังมีพืชและสัตว์ ต้องอาศัยน้ำฝนน้ำฟ้าจากเมืองแถน ถ้าอนาถขาดแคลนเสียแ ล้วก็ต้องเดือดร้อนสารพัด ทั้งสัตว์และพืชเป็นล้นพ้น เราเองพญาคันคาก คือ คางคกสัตว์ไม่มีขน ยังต้องดูแลเผื่อแผ่เกื้อหนุนฝูงม นุษย์ พี่น้องเราทั้งหมดก็ล้วนสัตว์บริสุทธิ์ที่พิทักษ์รักษาผู้คนให้มีความสุขอุดมสมบูรณ์เสมอกัน ท่านซึ่งเป็นพญาแถนควรจดจำเป็ นเยี่ยง อย่าง อย่าเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แถนฟ้าต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสม

พญาแถนถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองมนุษย์ต้องการน้ำตอนไหน เมื่อไร

พญาคันคากตอบว่าจะส่งสัญญาณให้ พญานาคขี่บั้งไฟ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงแล้วมองเห็นบั้งไฟมีหัวพญานาค ก็ใ ห้ไขน้ำทำฝนหล่นลงเมืองมนุษย์ทันที

พญาแถนน้อมรับคำสั่งสอนของพญาคันคากทุกอย่าง แล้วสั่งให้ไพร่พลลูกเมียเตรียมสำรับกับข้าวเลี้ยงดูกองทัพ พญาคันคากไม่รู้จักข้าว เลยถามว่ามันคืออะไร …พญาแถนบอกว่าเมืองฟ้าเมืองแถนมีข้าวปลูกไว้กินเป็นข้าวหอมอร่อยมาก แล้วอธิบายสรรพคุณยืดยาว พญาคันคากเลยสั่งให้พญาแถนเอาข้าวลงไปปลูกในเมืองมนุษย์ รวงข้างให้ยาวแค่วา เมล็ดข้าวเท่ามะพร้าว ต้นข้าวเท่าลำตาลก็พอแล้ว …พญาแถนรับคำ แล้วบอกเพิ่มเติมว่า ข้าวพวกนี้เมื่อโตเต็มที่เมล็ดข้าวจะหล่นจากรวงเอง แล้วจะแล่นไปเข้ายุ้งฉางข้าวเอง ขอให้มนุษย์ทำ ยุ้งฉางเยียข้าว คอยไว้เท่านั้น …เมื่อสำเร็จเสร็จสรรพแล้ว พญาคันคากก็พาสารพัดสัตว์ ไพร่พลทั้งหลาย ลงจากเมืองแถนแดนฟ้า กลับสู่แดนดินเมืองชมพูตามเส้นทางเดิมที่ปลวกทำไว้

นิทานพื้นบ้านไทย พญาคันคาก

คนทำลายโลกมนุษย์
ครั้นพญาคันคากละร่างคางคกรูปคนสิ้นอายุขัยแล้วสวรรคต เมื่อช้านานกาลกำหนดความอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มประหลาด ผู้คนในชม พูทวีปต่างประมาทขาดสำรวมจนเรรวนแล้วเกียจคร้าน เหตุเพราะความสะดวกสบายที่พญาแถนบันดาล ผู้คนลืมทำ ยุ้งเลียเล้าข้ าวให้พร้อมเสร็จตามเวลากำหนด เมื่อเมล็ดข้าวสุก จึงหล่นเรี่ยราดตามนาไร่ เมื่อไม่มีที่อยู่ก็บินหาที่พำนักในเรือนนอนของผู้คน เขาก็พากันเอาพร้า มีดขวานโขกสับเมล็ดข้าวจนปี้ปนแตกตัดกระจัดกระจาย เหลือเมล็ดเท่ากรวดทรายกระจิริดตั้งแต่นั้นมา

ทางถนนที่ปลวกทำไว้ให้พญาคันคากขึ้นไปหาฟ้าแถนแต่ก่อน มีเครือเขากาดเกี่ยวพันแน่นหนาไม่สั่นคลอน ถาวรเป็นนิรันดรให้ ผู้คนสัญจรไปมา พญาแถนพิจารณาว่า มนุษย์ไม่ซื่อตรง ล้วนลุ่มหลงแต่ความสบายบริโภคซึ่งพิษภัย เบียดเบียนกันเองไม่เกรงใค รเหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็กทุกบริเวณ ผีฟ้าพญาแถนก็ก่งศรร่อนธนูสู่ทางถนนเครือเขากาด หนทางปลวกของพญาคันคากก็ขาดสะบั้นถล่มทลายกระจาย เป็นภูดอยน้อยใหญ่ในชมพูทวีปแต่นั้นมา

ผีฟ้าพญาแถนแดนสวางสวงสังเวียนบนสวรรค์ ก็ลงโทษทัณฑ์มนุษย์ทั้งหลายที่มักเกียจคร้าน จึงไม่ปลุกพันธุ์ข้าวทิพย์ให้มนุษย์เหมือนแต่ก่อน มนุษย์ต้องหักร้างถางพงในดงดอน แล้วถางไถปลูกข้าวกินเองอย่างทุกข์ทรมานแต่นั้นมา

พญาคันคากจากไป พญาแถนก็ไม่กลับมา ฤดูเดือนเคลื่อนที่ไม่คงทน น้ำฟ้าน้ำฝนขาดตกบกพร่อง แม่น้ำลำคลองเ น่าเหม็นเป็นอันตราย สุมทุมพุ่มไม้ป่าดงพงไพรพินาศ ล้วนมีเหตุจากความประมาทของมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้

Credit: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 หน้า 20
haab.catholic.or.th/history/Suwannapoom/suwannapoom10.html

The post นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องพญาคันคาก appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพิกุลทอง

$
0
0

นิทานพื้นบ้านไทยเรื่องพิกุลทอง เป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลาง ที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน เพลิดเพลิน และให้แง่คิดที่ดี จึงเป็นนิทานสอนใจ เป็นนิทานก่อนนนอน และเป็นนิทานเด็ก ไว้สอนเด็กได้ในเรื่องการทำความดี ด้วยบอกเล่าผ่านนิทานพื้นบ้านของไทยเรา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหญิงสาวสวย คนหนึ่งชื่อว่า “พิกุล” …กล่าวกันว่าเธอมีความสวยทั้งหน้าตาและ กิริยามรรยาท มารดาของเธอตายตั้งแต่เธอยังเล็กมาก ดังนั้นเธอจึงได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงซึ่งเธอเองก็มีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า “มะลิ” …แต่ก็โชคร้ายที่ว่าทั้งแม่เลี้ยงและลูกสาวของเธอนั้นเป็นคนใจร้าย ทั้งคู่จะบังคับให้พิกุลทำงานหนักทุกวัน

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง พิกุลทอง

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากตำข้าวเสร็จแล้ว …พิกุลก็ออกไปตักน้ำที่ลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ในขณะเดินทางกลับ …ทันใดนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพิกุลและขอน้ำเธอดื่ม พิกุลดีใจมากที่ได้ช่วยหญิงชราคนนั้น …เธอเอาน้ำให้หญิงชราและบอกให้เธอเอาน้ำไปอีกเพื่อจะได้ล้างหน้า และล้างตัวให้สดชื่น พิกุลบอกหญิงชราว่าไม้ต้องห่วงเพราะถ้าน้ำไม่พอเธอจะไปตักมาอีก …หญิงชรายิ้มและกล่าวว่า “เธอนี่นอกจากจะสวยแล้วยังใจดีอีกถึงแม้ว่าฉันจะดูยากจน และมอมแมมเธอก็ปฏิบัติกับฉันเป็นอย่างดี”

หลังจากกล่าวชื่นชมพิกุลแล้ว …หญิงชราก็ให้พรวิเศษกับเธอ และด้วยอำนาจของพรวิเศษนี้จะทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอ …เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกสงสารใครหรือสิ่งใด …หลังจากหญิงชราให้พรวิเศษแก่พิกุลแล้ว ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของเธอ …พิกุลก็รู้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วหญิงผู้นั้นเป็นนางฟ้าจำแลงมาให้พรวิเศษแก่ตน …ทันทีที่กลับถึงบ้านช้า เธอก็ถูกแม่เลี้ยงดุด่าว่าไปเถลไถลเพื่อหนีงาน ดังนั้นพิกุลจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงฟังพร้อมกับเกิดความรู้สึกสงสารใน …ขณะเล่าจึงทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอด้วย …แม่เลี้ยงจอมละโมบก็เปลี่ยนอารมณ์จากโกรธเป็นละโมบในทันทีพร้อมกับตะครุบดอกพิกุลทองทั้ง หมดไว้ในขณะที่ปากก็สั่งให้พิกุลพูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสนองความละโมบของเธอนั่นเอง

นิทานพิ้นบ้านไทย นิทานเด็ก พิกุลทอง

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แม่เลี้ยงของพิกุลก็เก็บรวบรวมดอกพิกุลทองคำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปขายและได้เงินมามากมาย ชีวิตทุกคนตอนนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พิกุลเองก็ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ถูกบังคับให้พูดทั้งวันเพื่อให้ดอกพิกุลทองคำออกมาจากปากของเธอมากๆ นั่นเอง …พิกุลทองอ่อนล้าไปกับการตอบสนองความละโมบของแม่เลี้ยง ตอนนี้พิกุลเองเกิดเจ็บคอและกลายเป็นคน เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย เธอพูดไม่ได้ไประยะหนึ่ง …อาการเช่นนี้ทำให้แม่เลี้ยงโมโหมากขึ้นจนถึงขั้นตบตี พิกุลเพื่อพยายามยังคับให้เธอพูดแต่พิกุลก็พูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว

… เพื่อตอบสนองความละโมบของตน ตัวแม่เลี้ยงเองจึงตัดสินใจส่งลูกสาวของตนนามว่ามะลิไปทำตามอย่างพิกุลบ้าง … มะลิถูกส่งไปยังสถานที่เดียวกับที่พิกุลบอกไว้แต่ว่าแทนที่จะได้พบกับหญิง ชราก็กลับเป็น พบหญิงสาวสวยสวมเสื้อผ้างดงามยืนอยู่ใต้ร่มใหญ่ หญิงสาวผู้นั้นขอน้ำมะลิดื่มแต่ด้วยความริษยามะลิแสดงอาการโกรธและคิดว่า หญิงผู้นั้นไม่ใช่นางฟ้า เธอจึงปฏิเสธและใช้วาจาหยาบคายด่าทอนางฟ้าจำแลง …ดังนั้น นางฟ้าจึงสาปแช่งมะลิว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอโกรธและพูดออกมาแล้วไซร้ ก็จะมีหนอนร่วงออกมาจากปากของเธอ เมื่อกลับมาถึงบ้านมะลิก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่ฟังและด้วยความโกรธ ในขณะ เล่าเรื่องนั้นก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยตัวหนอน ผู้เป็นแม่คิดว่าพิกุลอิจฉาลูกสาวของตน ดังนั้นจึงแกล้งบิดเบือนเรื่องที่เล่าจึงเป็นเหตุให้ลูกสาวของตนไม่ได้พบกับ หญิงชราแม่เลี้ยงจึงทุบตีพิกุลและไล่เธอออกจากบ้านไป

นิทานพื้นบ้าน นิทานก่อนนอน พิกุลทอง

ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งพิกุลจึงท่องเที่ยวไปในป่า แต่เพียงลำพัง โชคดีที่ว่าเธอเดินไปในทิศทางที่ เจ้าชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการขี่ม้าประพาสป่ากับข้าราชบริพารผ่าน มาพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นสาวนั่งร้องไห้อยู่ทรงถามเรื่องราวความเป็นมาทั้ง หมด ทันทีที่พูดจบที่บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยดอกพิกุลทองคำ …เจ้าชายดีพระทัยยิ่งนัก จึงขอนางอภิเษกสมรสด้วยและหลังจากการอภิเษกสมรสทั้งสองพระองค์ก็ได้ ขึ้นครองราชย์และปกครองเมืองของพระองค์ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. จากเค้าเรื่องนิทานนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของสำนวนไทยเปรียบเปรยคนที่ไม่ค่อยพูดหรือมักพูดอุบอิบอยู่แต่ในปากว่า “กลัวดอกพิกุลจะร่วง
2. “การคิดดีทำดี …ย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบสนองเสมอ” …อย่างเช่น พิกุล

Credit: infoforthai.com/forum/topic/622
Photo credit: kruspw.com/2016/03/blog-post_72.html

The post นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพิกุลทอง appeared first on BKKSEEK.COM.


นิทานพื้นบ้าน เรื่องโสนน้อยเรือนงาม

$
0
0

ที่”นครโรมวิสัย” มีกษัตริย์ครองอยู่ มีพระราชธิดาที่สวยงามมาก พระราชธิดานี้เมื่อประสูติมีเรื่อนไม้เล็กๆ ติดมือออกมาด้วย เรือนนี้เมื่อพระธิดาเจริญวัยขึ้น เรือนไม้นี้ก็โตขึ้นด้วยและกลายเป็นของเล่นของพระราชธิดา พระบิดาจึงตั้งชื่อพระราชธิดาว่า “โสนน้อยเรือนงาม” เมื่อโสนน้อยเรือนงามมีพระชนม์พรรษาได้สิบห้าพรรษา โหรทูลพระบิดาว่าโสนน้อยเรือนงามกำลังมีเคราะห์ ควรให้ออกไปจากเมืองเสีย เพราะจะต้องอภิเษกกับคนที่ตายแล้ว พระบิดาและพระมารดาก็จำใจให้โสนน้อยเรือนงามออกไปจากเมืองแต่ผู้เดียว โสนน้อยเรือนงามปลอมตัวเป็นชาวบ้านและเอาเครี่องทรงพระราชธิดาห่อไว้ พระอินทร์สงสารนางจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นได้ โสนน้อยเรือนงามเดินทางเข้าไปในป่าพบ “นางกุลา” หญิงใจร้ายนอนตายเพราะถูกงูกัด โสนน้อยเรือนงามจึงนำยาของชีปะขาวมารักษา นางกุลาก็ฟื้น นางจึงขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยเรือนงาม

นิทานพื้นบ้านไทย โสนน้อยเรือนงาม

ที่ “นครนพรัตน์” เมืองใกล้เคียงโรมวิสัย มีกษัตริย์ครองอยู่มีพระราชโอรสนามว่า “พระวิจิตรจินดา” ซึ่งเป็นชายหนุมรูปงามและมีความสามารถ แต่วันหนึ่งพระวิจิตรจินดาถูกงูพิษกัดสิ้นพระชนม์ พระบิดาและพระมารดาเศร้าโศรกเสียใจมาก แต่โหรทูลว่า พระวิจิตรจินดาจะสิ้นพระชนม์ไปเจ็ดปีแล้วจะมีพระราชธิดาของเมื่องอื่นมารักษาได้ พระบิดาและพระมารดาจึงเก็บพระศพของพระวิจิตรจินดาไว้ และมีประกาศให้คนมารักษาให้ฟื้น

โสนน้อยเรือนงามและนางกุลาเดินทางมาถึงเมืองนพรัตน์ได้ทราบจากประกาศ จึงเข้าไปในวังและอาสาทำการรักษา โดยขอให้กั้นม่านเจ็ดชั้น ไม่ให้ใครเห็นเวลารักษา โสนน้อยเรือนงามแต่งเครื่องทรงพระราชธิดาทำการรักษา โดยนางกุลาติดตามเฝ้าดู เมื่อโสนน้อยเรือนงามทายาให้พระวิจิตรจินดา พิษของนาคราชเป็นไอร้อนออกมาทำให้นางรู้สึกร้อนมาก จึงถอดเครื่องทรงพระราชธิดาออกแล้วเสด็จไปสรงน้ำ ระหว่างนั้นนางกุลาก็นำเครื่องทรงพระราชธิดาของโสนน้อยเรือนงามามแต่ง พอดีพระวิจิตรจินดาฟื้น ทุกคนก็คิดว่านางกุลาเป็นพระราชธิดาที่รักษาจึงเตรียมจะให้อภิเษก ส่วนโสนน้อยเรือนงามต้องกลายเป็นข้าทาสของนางกุลาไป

พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก …เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่ จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ”โสนน้อยเรือนงาม”

เมื่อพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน …ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม …พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน

เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงามและอยู่ด้วยกันมีความสุขสืบไป

The post นิทานพื้นบ้าน เรื่องโสนน้อยเรือนงาม appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานไทย เรื่องไชยเชษฐ์

$
0
0

ท้าวอภัยนุราช” เจ้าเมืองเวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง พระนามว่า “นางจำปาทอง” เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้จากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคืองจึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี “นางแมว” ซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปางทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ “นนทยักษ์” ซึ่งกำลังจะไปเฝ้าท้าวสิงหลนางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบพระฤๅษี พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น

นิทานพื้นบ้านไทย วรรณกรรมไทย ไชยเชษฐ์

ท้าวสิงหล” เป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีโอรสและธิดา …คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลืองเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่า “นางสุวิญชา

ฝ่าย”พระไชยเชษฐ์”เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ …พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน …วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล …นางสุวิญชามาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล …ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ …ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ …พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์

ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า …ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า …พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก …ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดดัวมาด้วย …นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า …เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ …เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก …นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ …พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง …ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร …แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า พระนารายณ์ธิเบศร์

ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย …จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหล…และได้พบ “พระนารายณ์ธิเบศร์” ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส …จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ …พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม

พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตาย …แต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเต็มพื้นดิน …จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลาดใจยิ่งนัก …เจ้าชายจึงอธิษฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญชา ขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร …ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไป และศรธนูที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น …จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริง

พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา …เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ …พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง …ทั้งสองจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน …พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล …พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา …ส่วนพระนารายณ์ธิเบศร์ลูกชายก็ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ …นางสุวิญชายกโทษให้พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชา และพระนารายณ์ธิเบศร์ …สามคนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

The post นิทานไทย เรื่องไชยเชษฐ์ appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องขายปัญญา

$
0
0

นิทานล้านนา เรื่องขายปัญญา
ในกาลก่อนนั้น… สติปัญญาความรู้ ความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องนั้น มีการนำเอามาขายดังสินค้าต่าง ๆ เช่นปัจจุบันนี้ ดังนั้น ตลอดเวลาจะมีผู้นำเอาความรู้หรือเอาตัวปัญญานี้มาขายเสมอ

วันหนึ่งในเวลาบ่าย แดดร้อนจัดจนเป็นเปลว มีชายคนหนึ่งนำเอาปัญญามาขาย โดยบรรจุตัวปัญญาลงในกระทอจนเต็มแล้ว หาบผ่านเปลวแดดมาจนถึงประตูเมือง ครั้นจะเข้าไปทันทีก็เกรงว่าอากาศร้อน ๆ เช่นนี้จะทำให้อารมณ์ของตนเสียไปได้… เขาจึงสอดส่ายสายตาดูร่มไม้ใหญ่บริเวณรอบๆ ในที่สุดก็มองเห็นร่มหว้าใหญ่ใบตก มีร่มแผ่กว้างน่าพัก เขาจึงแวะเข้าไปแล้ววางหาบตัวปัญญาที่นำมาขายลง แล้วเอนหลังหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน… จวบจนตะวันบ่ายคล้อยลง ความร้อนจึงค่อยบรรเทา ชายนั้นตื่นขึ้นแล้วไปล้างหน้าในสระน้ำใกล้กำแพงเมือง ตั้งใจว่าพอเสร็จธุระแล้วนำเอาตัวปัญญาเข้าไปเสนอขายในเมืองทันที

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องขายปัญญา

ขณะที่เขาเตรียมจัดหาบเพื่อจะเข้าไปในเมืองอยู่นั้น พอดีมีหมู่คนประมาณ 4 – 5 คนออกจากประตูเมืองมา เมื่อมาถึงใต้ร่มหว้า ชายที่นำเอาตัวปัญญามาขายจึงร้องถามออกไปว่า ‘’พี่น้องทั้งหลาย ในพวกท่านมีใครบ้างไหมที่ต้องการซื้อเอาปัญญาไปไว้ใช้บ้าง” ชาวบ้านเหล่านั้นหันหน้ามามองกัน คนหนึ่งในพรรคพวกจึงถามว่า ‘’ท่านเอ๋ย ปัญญานั้นมันเป็นเสมอแก้วสารพัดนึก ซึ่งจะลดบันดาลให้ท่านล่วงรู้และสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลก ๆ ใหม่ได้อีกมากมายโดยไม่รู้จักจบสิ้น ปัญญาจะช่วยให้บ้านเมืองที่ล้าหลังเจริญก้าวหน้า

คนหนึ่งในพวกนั้นอุทานออกมาด้วยความพอใจ ‘’โอโฮ… ยังงั้นปัญญาก็เป็นแก้วสารพัดนึกละซิที่จะสามารถดลบันดาลสิ่งที่ต้องการได้ ทุกอย่าง นอกจากนั้นปัญญายังช่วยให้เราล่วงรู้สิ่งที่เรายังไม่รู้ด้วยใช่ไหม” ชายผู้นั้นพยักหน้าและรับปากว่า ‘’จริงทีเดียว พวกท่านเข้าใจอย่างถูกต้อง ปัญญาเปรียบเหมือนดวงแก้วที่จะส่องสว่างขจัดความโง่เขลาให้หายไปอย่างไรล่ะ พวกท่านมีใครต้องการบ้างไหมเล่า เรากำลังนำมาเสนอขายจนถึงบ้านของท่านล่ะ‘’

… ชายคนหนึ่งในหมู่คนนั้นอยากจะลองดูว่า ผู้เอาปัญญามาขายนั้นจะฉลาดและล่วงรู้ทุกสิ่งจริงดังที่เขากล่าวหรือไม่ เขาจึงก้มดูรอบๆ ต้นหว้าใหญ่นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วเอ๋ยปากถามว่า ‘’เอาละ เมื่อท่านกล่าวว่า ปัญญาจะสามารถช่วยให้เราล่วงรู้ทุกอย่าง ข้าพเจ้าขอเรียนถามท่านว่า ท่านรู้หรือไม่ว่ามีอะไรอยู่ใต้ดินตรงที่ท่านยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าหากท่านมีปัญญาจริง หวังว่าท่านคงจะตอบได้ ” ชายนั้นยืนเพ่งพินิจพิจารณาเป็นเวลานาน ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใต้หาบและใต้บริเวณที่ตนยืนอยู่นั้นมีอะไรอยู่ เขาจึงย้อนถามไปว่า ‘’ และท่านสามารถบอกได้รึว่าอะไรอยู่ใต้เท้าที่เรายืนอยู่นี้

… ชายที่ถามพยักหน้าและตอบออกไปทันทีว่า ‘’ แม้เราจะไม่มีตัวปัญญามาขายแต่เรากล้าบอกว่าใต้หาบตัวปัญญานี้มีไข่มดแดง (ดิน) รังใหญ่ หากท่านไม่เชื่อก็ช่วยเราขุดซิ หากไม่พบดังเราว่ายอมให้ท่านปรับเราก็แล้วกัน” ชายคนนั้นตกลง ต่อจากนั้นคนทั้งหมดต่างช่วยกันขุดลงไปจนลึกเกือบท่วมศรีษะ จึงพบไข่มดพร้อมทั้งแม่มันจำนวนมากมายในโพรงนั้นจริง ๆ ซึ่งการกระทำครั้งนี้ ทำให้ชายผู้เอาปัญญามาขายรู้สึกอับอายยิ่งนัก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเอาหาบปัญญาเดินหมุนกลับไปทางเดิม ไม่ยอมเอาตัวปัญญามาขายให้แก่ชาวเมืองนั้นเพราะเจ็บใจที่ถูกสบประมาทต่อหน้า เขาออกเดินทางไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานจนกระทั่งไปพบคนผิวขาวได้แก่พวกฝรั่งนั่นเอง เขาจึงเอาตัวปัญญานี้นำออกไปขาย และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ชาวยุโรปเจริญรวดเร็ว สามารถคิดและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ได้โดยไม่รู้จักจบสิ้น นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนวิธีค้นคว้าซึ่งดีกว่าพวกเราเสียอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. คนอวดรู้เมื่อไปพบคนที่รู้จริง สู้เขาไม่ได้ย่อมขายหน้า… หรือปัญญาเป็นเรื่องของนามธรรมจะชื้อจะขายกันเหมือนวัตถุหาได้ไม่ ผู้รู้แจ้งในปัญญาคือผู้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง… นั่นคือประสบการณ์หรือการศึกษาด้วยการกระทำจริงนั่นเอง … เหมือนชายที่รู้ได้ว่าพื้นดินตรงนั้นมีไข่แมงมัน เพราะใช้ความสังเกตและเคยหากินทางนี้มาแล้ว
2. คติ ‘’โง่อวดฉลาด”

ไข่มดแดง (ดิน) เป็นแมลงชนิดหนึ่งตัวเล็ก ๆ แม่มดตัวสีแดง ตัวเล็กมากมันจะขุดรูอยู่ลึกเวลาไข่ของมันแก่ตัว มันจะขุดขึ้นมา แล้วบินออกไปทำการผสมพันธุ์และไข่ต่อไป ทางภาคเหนือเรียกว่า แมงมัน รับประทานอร่อยมาก รังหนึ่ง ๆ มีไข่มากพอสมควร

Credit: www.openbase.in.th

The post นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องขายปัญญา appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานพื้นบ้านไทย วรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่องสังข์ทอง

$
0
0

นิทานเรื่องสังข์ทอง อีกวรรณกรรมพื้นบ้านและเป็นนิทานพื้นบ้านไทย ที่มีเนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและเป็นนิยมมีตัวละครที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เจ้าเงาะซึ่งคือพระสังข์กับนางรจนา เป็นนิทานที่คนไทยในท้องถิ่นต่างๆ คุ้นเคยและชื่นชอบ ดังปรากฏแพร่หลายในท้องถิ่นต่างๆ หลากหลายสำนวนนอกจากความนิยมนิทานสังข์ทองในรูปแบบของวรรณกรรมแล้ว นิทานสังข์ทองยังมีความสัมพันธ์และบทบาทในวิถีชีวิตไทยด้านต่างๆ เช่น ชื่อสถานที่ สำนวนไทย เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย ตำราพยากรณ์ชีวิต จิตรกรรม ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ

แม้ในปัจจุบัน นิทานสังข์ทองก็ยังได้รับความนิยมและดำรงอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อหาในหนังสือแบบเรียนหลายหลักสูตร หนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน ภาพยนตร์การ์ตูนละครพื้นบ้าน นวนิยาย ตลอดจนงานศิลปะร่วมสมัย เช่น งานประติมากรรม การแสดงละครหุ่นสมัยใหม่ นอกจากนี้เนื้อหาและตัวละครจากนิทานสังข์ทองยังสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เช่น ชื่อพันธุ์ไม้ ชื่อรายการโทรทัศน์ ฯลฯ กล่าวได้ว่านิทานสังข์ทอง เป็นนิทานที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาหลายยุคหลายสมัยนับเป็นมรดกทางจินตนาการของคนไทย ที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องสังข์ทอง

ท้าวยศวิมล” มีมเหสีชื่อ”นางจันท์เทวี” มีสนมเอกชื่อ “นางจันทาเทวี” …พระองค์ไม่มีโอรสธิดาจึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร …และประกาศแก่พระมเหสีและนางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครอง

อยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็น”หอยสังข์” …นางจันทาเทวีเกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทาเทวี จึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง …นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย

นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย สังข์ทอง

ในเวลาต่อมา พระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร ท้าวยศวิมลจึงมีบัญชาให้จับตัวพระสังข์มาถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์(พญานาค) ราชาแห่งเมืองบาดาลก็มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อไปจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์

วันหนึ่ง นางพันธุรัตได้ไปหาอาหาร พระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง และได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง(รองเท้าทองนั้นเอง) ไม้พลอง และพระสังข์ก็รู้ความจริงว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ เมื่อพระสังข์พบเข้ากับโครงกระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการสวมกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไป

เมื่อนางพันธุรัตทราบว่าพระสังข์หนีไป ก็ออกตามหาจนพบพระสังข์อยู่บนเขาลูกหนึ่ง จึงขอร้องให้พระสังข์ลงมา แต่พระสังข์ก็ไม่ยอม นางพันธุรัตจึงเขียนมหาจินดามนตร์ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้ที่ก้อนหิน ก่อนที่นางจะอกแตกตาย ซึ่งพระสังข์ได้ลงมาท่องมหาจินดามนตร์จนจำได้ และได้สวมรูปเงาะออกเดินทางต่อไป

นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย เรื่องสังข์ทอง

พระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมี “ท้าวสามล”และ “พระนางมณฑา” ปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะ พระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ “รจนา” มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่งท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั้ง 6 ต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่นางรจนาที่มิได้เลือกเจ้าชายองค์ใดเป็นคู่ครอง ท้าวสามลจึงได้ให้ทหารไปนำตัวพระสังข์ในร่างเจ้าเงาะซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวที่เหลือในเมืองสามล ซึ่งนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ จึงได้เสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ทำให้ท้าวสามลโกรธมากจึงเนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ

นิทานพื้นบ้านไทย นิทานก่อนนอน เรื่องสังข์ทอง

ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์เกิดแข็งกระด้าง อันเป็นสัญญาณว่ามีผู้มีบุญกำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษัตริย์เมืองยกทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ท้าวสามลออกมาแข่งตีคลีกับพระองค์ หากท้าวสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมืองสามลเสีย …ท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกับพระอินทร์ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่า จึงจำต้องเรียกเจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึ่งนางรจนาได้ขอร้องให้สามีช่วยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอร้องจนใจอ่อน และเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์

นิทานไทย_สังข์ทอง

หลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล และเปิดโปงความชั่วของพระนางจันทาเทวีผู้เป็นสนมเอก พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิมลไปรับพระนางจันท์เทวีกับพระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิมลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจันท์เทวีกลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์

ท้าวยศวิมลและพระนางจันท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิมลเข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนพระนางจันท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว และในวันหนึ่ง พระนางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยพระนางจันท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้นเป็นเรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้พระสังข์รู้ว่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้องครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้ง…หลังจากนั้น ท้าวยศวิมล พระนางจันท์เทวี พระสังข์กับนางรจนาได้เดินทางกลับเมืองยศวิมล ท้าวยศวิมลได้สั่งประหารพระนางจันทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ได้ครองราชย์สืบต่อมา

นิทานพื้นบ้านไทย สังข์ทอง

Credit: arereeya.wordpress.com/author/arereyanana/page/3/
ich.culture.go.th/index.php/th/ich/folk-literature/252-folk/79-2012-01-31-09-46-20

The post นิทานพื้นบ้านไทย วรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่องสังข์ทอง appeared first on BKKSEEK.COM.

นิทานภาษาอังกฤษ นิทานอีสปสั้นๆ เรื่องลากับตั๊กแตน

$
0
0

Aesop’s Fables: The Donkey and The Grasshopper – นิทานเรื่องสั้น นิทานเด็ก นิทานก่อนนอน นิทานอีสป นิทานภาษาอังกฤษพร้อมแปลไทย เรื่องลากับตั๊กแตน

นิทานภาษาอังกฤษ นิทานก่อนนอน เรื่องลากับตั๊กแตน

A Donkey having heard some Grasshoppers chirping, was highly enchanted and desiring to possess the same charms of melody, demanded what sort of food they lived on to give them such beautiful voices.
ลาตัวหนึ่งได้ยินเสียงอันไพเราะของ ตั๊กแตนก็รู้สึกหลงใหลในเสียงของตั๊กแตนมาก และปราถนาที่จะเป็นเจ้าของทำนองที่มีเสน่ห์เช่นนั้นบ้าง มันจึงต้องการรู้ว่าอาหารชนิดใดที่ตั๊กแตนกินเป็นประจำ และทำให้ตั๊กแตนมีเสียงร้องที่ไพเราะเช่นนั้น

นิทานภาษาอังกฤษ นิทานอีสปสั้นๆ เรื่องลากับตั๊กแตน

They replied, “The dew.” 
ตั๊กแตนตอบว่า “น้ำค้าง”

The Donkey resolved that he would live only upon dew, and in a short time died of hunger.
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าลาจึงตัดสินใจที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยการกิน น้ำค้างเพียงอย่างเดียว และในไม่ช้า…ลาก็ตายไปเพราะความหิวโหย

นิทานภาษาอังกฤษ นิทานอีสป เรื่องลากับตั๊กแตน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า (Moral of the story)
1. Where one may live, another may starve.
“สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่น…อาจเป็นสิ่งที่เเย่ที่สุดสำหรับเรา”
2.อย่าหลงงมงาย…กับสิ่งยั่วยวนต่างๆมากเกินไป
3.บางสิ่งบางอย่าง…ไม่สามารถเลียนแบบกันได้
4.ต้องยอมรับความสามารถของผู้อื่นว่า …มีความสามารถไม่เหมือนใคร

คำศัพท์ (Vocabulary)
grasshoppers = (n.) ตั๊กแตน
Donkey = (n.) ลา, คนโง่ (คำไม่เป็นทางการ)
Hear = (v.) ฟัง, ได้ยิน
chirping  = (v.) เสียงร้องของนกหรือแมลง
desiring  = (v.) ปรารถนา, ต้องการ, ประสงค์
enchanted  = (v.) ทำให้หลงใหล, ทำให้ลุ่มหลง
possess  = (v.) ครอบครอง, มี, เป็นเจ้าของ
charms  = (n.) เสน่ห์
melody  = (n.) เสียงดนตรีที่ไพเราะ, ทำนองเพลง
demanded  = (v.) ต้องการ
Sort = (n.) ชนิด, จำพวก, ประเภท
reply = (VT) ตอบ, ตอบกลับ, ตอบกลับมา (Replied เป็นกริยาช่อง 2 และ 3 ของคำว่า reply)
dew = (n.) น้ำค้าง
resolved = (v.) ตกลง, ตัดสินใจ
Hunger = (N) ความหิว, ความระโหย, ความอดอยาก, ความโหยหิว

The post นิทานภาษาอังกฤษ นิทานอีสปสั้นๆ เรื่องลากับตั๊กแตน appeared first on BKKSEEK.COM.

Viewing all 104 articles
Browse latest View live